สาระการเรียนรู้
การแบ่งยุคสมัยประวัติศาสตร์ตะวันออก
การแบ่งยุคสมัยประวัติศาสตร์ตะวันออกจะแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ตามช่วงเวลาของแต่ละราชวงศ์ หรือศูนย์กลางอำนาจเป็นเกณฑ์ การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์จีน สามารถแบ่งออกได้เป็นประวัติศาสตร์จีนสมัยโบราณ (2200 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 220) ประวัติศาสตร์จีนสมัยกลาง (ค.ศ. 220 – ค.ศ. 1368) ประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่ (ค.ศ. 1368 – ค.ศ. 1911) และประวัติศาสตร์จีนสมัยปัจจุบัน (ค.ศ. 1911 – ปัจจุบัน)
การแบ่งยุคสมัยประวัติศาสตร์จีน
ประวัติศาสตร์จีนสมัยโบราณ
ช่วงเวลาการเริ่มต้นจากรากฐานอารยธรรมจีน ตั้งแต่สมัยประวัติศาสตร์ที่มีการสร้างสรรค์วัฒนธรรมหยางเซา (Yang Shao) วัฒนธรรมหลงซาน (Lung Shan) อันเป็นวัฒนธรรมเครื่องปั้นดินเผาและโลหะสำริด ต่อมาเข้าสู่สมัยประวัติศาสตร์ ราชวงศ์ต่าง ๆ ได้ปกครองประเทศ ได้แก่ ราชวงศ์เซียะ ประมาณ 2,205 – 1,766 ปีก่อนคริสต์ศักราช และราชวงศ์ชางประมาณ 1,767 – 1,122 ปีก่อนคริสต์ศักราช ช่วงเวลาที่จีนเริ่มก่อตัวเป็นรัฐที่มีรากฐานการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคม ราชวงศ์โจว ประมาณ 1,122 – 256 ปีก่อนคริสต์ศักราช ซึ่งแบ่งออกเป็นราชวงศ์โจวตะวันตก และราชวงศ์โจวตะวันออก เมื่อราชวงศ์โจวตะวันออกเสื่อมลง เกิดสงครามระหว่างเจ้าผู้ครองรัฐต่าง ๆ ในที่สุดราชวงศ์ฉิน รวบรวมด่อตั้งราชวงศ์ช่วงเวลา 221 – 206 ปีก่อนคริสต์ศักราช และสมัยราชวงศ์ฮั่น 206 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศง 220) เป็นสมัยที่รวมศูนย์อำนาจจนเป็นจักรพรรดิ
ประวัติศาสตร์จีนสมัยกลาง
อารยธรรมมีการปรับตัวเพื่อรับอิทธิพลต่างชาติเข้ามาผสมผสานในสังคมจีน ที่สำคัญคือพระพุทธศาสนา แระวัติศาสตร์จีนสมัยกลางเริ่มสมัยด้วยความวุ่นวายจากการล่มสลายของราชวงศ์ฮั่น เรียกว่าสมัยความแตกแยกทางการเมือง (ค.ศ. 220 – ค.ศ. 589) เป็นช่วงเวลาการยึดครอบของชาวต่างชาติ การแบ่งแยกดินแดน ก่อนที่จะมีการรวมประเทศในสมัยราชวงศ์สุย (ค.ศ. 581 – ค.ศ. 618) สมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618 – ค.ศ. 907) ช่วงเวลานี้ประเทศจีนเจริญรุ่งเรืองสูงสุดก่อนที่จะแตกแยกอีกครั้ง ในสมัยห้าราชวงศ์กับสิบรัฐ (ค.ศ. 907 – ค.ศ. 979) ต่อมาสมัยราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960 – ค.ศ. 1279) สามารถรวบรวมประเทศจีนได้อีกครั้ง และมีความเจริญรุ่งเรืองทางศิลปวัฒนธรรม จนกระทั่งชาวมองโกลสามารถยึดครองประเทศจีนและสถาปนาราชวงศ์หยวน (ค.ศ. 1260 – ค.ศ. 1368)
ประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่
ประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่เริ่มใน ค.ศ. 1368 เมื่อชาวจีนขับไล่พวกมองโกลออกไป แล้วสถาปนาราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368 – ค.ศ. 1644) ขึ้นปกครองประเทศจีน และถูกโค่นล้มอีกครั้งโดยราชวงศ์ซิง (ค.ศ. 1664 – ค.ศ. 1911) ในช่วงปลายสมัยราชวงศ์ชิงเป็นเวลาที่ประเทศจีนถูกคุกคามจากชาติตะวันตก และจีนพ่ายแพ้แก่อังกฤษในสงครามฝิ่น (ค.ศ. 1839 – ค.ศ. 1842) จนสิ้นสุดราชวงศ์ใน ค.ศ. 1911
ประวัติศาสตร์จีนสมัยปัจจุบัน
ประวัติศาสตร์จีนสมัยปัจจุบันเริ่มต้นใน ค.ศ. 1911 เมื่อจีนปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบสาธารณรัฐโดย ดร.ซุน ยัตเซน (ค.ศ. 1911 – ค.ศ. 1949) ต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์ได้ปฏิวัติและได้ปกครองจีน จึงเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์ ตั้งแต่ ค.ศ. 1949 จนถึงปัจจุบัน
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นใช้พัฒนาการของอารยธรรมและช่วงเวลาตามศูนย์กลางอำนาจการปกครองเป็นเกณฑ์ในการแบ่งยุคสมัย สาเหตุที่ใช้เกณฑ์การแบ่งยุคสมัยเนื่องจากจักรพรรดิที่เป็นประมุขของญี่ปุ่นมีเพียงราชวงศ์เดียวตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน โดยอำนาจการปกครองในช่วงเวลาส่วนใหญ่อยู่ในตระกูลนักรบต่าง ๆ
ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นสมัยโบราณ
เมื่อมนุษย์เข้ามาตั้งถิ่นฐานในหมู่เกาะญี่ปุ่นจนถึงช่วงที่ญี่ปุ่นรบเอาอารยธรรมจากจีน แบ่งออกเป็นสมัยต่าง ๆ เช่น สมัยโจมอน (ประมาณ 7,000 - 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช) เป็นวัฒนธรรมสมัยหินและเครื่องปั้นดินเผา สมัยยาโยย (ประมาณ 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 300) เป็นสมัยโลหะและสังคมกสิกรรม และสมัยโคะฟุง (ค.ศ. 300 – ค.ศ. 600) เป็นสมัยของการก่อตั้งรัฐและจัดระเบียบทางสังคม
ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นสมัยกลาง
ญี่ปุ่นรับเอาอารยธรรมจีนและพุทธศาสนาเข้ามาในประเทศ ประวัติศาสตร์สมัยกลางแบ่งได้เป็นสมัยอาสุกะ (คริสต์ศตวรรษที่ 7) สมัยนารา (ค.ศ. 710 – ค.ศ. 794) เมืองหลวงอยู่ที่เมืองนารา สมัยเฮอัน (ค.ศ. 794 – ค.ศ. 1185) เมืองหลวงอยู่ที่เมืองเฮอัน (หรือปัจจุบันคือเมืองเกียวโต) ซึ่งจักรพรรดิมีอำนาจปกครอง สมัยคามากุระ (ค.ศ. 1185 – ค.ศ. 1333) เป็นสมัยที่โชกุนตระกูลมินาโมโตมีอำนาจปกครองประเทศ มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองคามากุระ ต่อมาตระกูลอาชิกางะได้ โค่นล้มตระกูลมินาโมโตและเป็นโชกุนแทนที่ใน ค.ศ. 1333 โชกุนตระกูลาชิกางะมีศูนย์กลางการปกครองที่เมืองมูโรมาจิเขตเมืองเกียวโต สมัยของมูโรมาจิสิ้นสุดเมื่อเกิดสงครามระหว่างตระกูลต่าง ๆเป็นสงครามกลางเมืองใน ค.ศ. 1573
ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นสมัยใหม่
สมัยใหม่ของญี่ปุ่นเริ่มในสมัยสงครามกลางเมืองหรือสมัยโมโมยามะ (ค.ศ. 1573 – ค.ศ. 1600) จนกระทั่งโตกุกาวา อิเอยาสุได้ยุติสงครามกลางเมือง และสถาปนาระบอบโชกุนตระกูลโตกุกาวา ศูนย์กลาง การปกครองที่เมืองเอโดะ ดังนั้นสมัยเอโดะ (ค.ศ. 1600 – ค.ศ. 1868) เป็นช่วงที่ระบบศักดินาเจริญสูงสุด ค.ศ. 1868 โชกุนถวายอำนาจการปกครองคืนแก่จักรพรรดิ จากนั้นญี่ปุ่นได้เข้าสู่สมัยเมจิ (ค.ศ. 1868 – ค.ศ. 1912) ซึ่งเป็นสมัยของการปฏิรูปญี่ปุ่นให้ทันสมัยแบบตะวันตก ต่อมาสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1912 – ค.ศ. 1939) จนกระทั่งสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1939 - ค.ศ. 1945) และสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1945 – ปัจจุบัน)
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์อินเดีย
การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์อินเดีย แบ่งอกเป็น สมัยโบราณ สมัยกลาง และสมัยใหม่ แต่ละยุคสมัยจำมีการแบ่งเป็นยุคสมัยย่อยตามช่วงเวลาของแต่ละราชวงศ์ที่มีอิทธิพลเหนืออินเดียขณะนั้น
ประวัติศาสตร์อินเดียโบราณ
ประวัติศาสตร์อินเดียโบราณตั้งแต่สมัยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ โดยมีพวกดราวิเดียน เมื่อ 2,500 ปีก่อนคริสต์ศักราชจนกระทั่งอารยธรรมแห่งนี้ล่มสลายลงเมื่อ 1,500 ปีก่อนคริสต์สักราชเมื่อชนชาวอารยันอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานและก่อตั้งอาณาจักรหลายอาณาจักรในภาคเหนือของอินเดีย นับว่าเป็นช่วงเวลาที่การเริ่มสร้างสรรค์อารยธรรมอินเดียที่แท้จริง มีการก่อตั้งศาสนาต่าง ๆ เรียกว่า สมัยพระเวท (1,500 – 900 ปีก่อนคริสต์ศักราช) สมัยมหากาพย์ (900 – 600 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ต่อมาอินเดียรวมตัวกันในสมัยราชวงศ์มคธ (600 – 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช) และมีการรวมตัวอย่างแท้จริงในสมัยราชวงศ์เมารยะ (321 - 184 ปีก่อนคริสต์ศักราช) ระยะเวลานี้เป็นเวลาที่อินเดียเปิดเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังดินแดนต่าง ๆ ต่อมาราชวงศ์เมารยะล่มสลายอินเดียก็เข้าสู่สมัยแห่งการแตกแยกและการรุกรานจากภายนอก จากพวกกรีกและพวกกุษาณะ รยะเวลานี้เป็นสมัยการผสมผสานทางวัฒนธรรมก่อนที่จะรวมเป็นจักรวรรดิได้อีกครั้งใน ค.ศ. 320 โดยราชวงศ์คุปตะ (สมัยคุปตะ ค.ศ. 320 – ค.ศ. 535)
ประวัติศาสตร์อินเดียสมัยกลาง
อินเดียเข้าสู่สมัยกลาง ค.ศ. 535 – ค.ศ. 1525 สมัยนี้เป็นช่วงเวลาของความวุ่นวายทางการเมือง และการรุกรานจากต่างชาติ โดยพาะชาวมุสลิม สมัยกลางจึงเป็นสมัยที่อารยธรรมมุสลิมเข้ามามีอิทธิพลในอินเดีย สมัยกลางแบ่งได้เป็นสมัยความแตกแยกทางการเมือง (ค.ศ. 535 – ค.ศ. 1200) และสมัยสุลต่านแห่งเดลลี (ค.ศ. 1200 – ค.ศ. 1526)
ประวัติศาสตร์อินเดียสมัยใหม่
พวกโมกุลได้ตั้งราชวงศ์โมกุลถือว่าสมัยโมกุล (ค.ศ. 1526 – ค.ศ. 1857) เป็นการเริ่มต้นสมัยใหม่จนกระทั่งอังกฤษเข้าปกครองอินเดียโดยตรงใน ค.ศ. 1585 จนถึง ค.ศ. 1947 อินเดียจึงได้รับเอกราชจากรปะเทศอังกฤษ ภายหลังได้รับเอกราชและถูกแบ่งออกเป็นประเทศต่าง ๆ ได้แก่ อินเดีย ปากีสถาน และบังคลาเทศ (ค.ศ. 1971) ประวัติศาสตร์อินเดียสมัยใหม่เป็นช่วงเวลาที่วัฒนธรรมเปอร์เซียและวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามีอิทธิพลในสังคมอินเดีย ขณะที่ชาวอินเดียที่นับถือศาสนาฮินดูได้ยึดมั่นในศาสนาของตนเองมากขึ้น และเกิดความแตกแยกในสังคมอินเดีย ดังนั้นประวัติศาสตร์อินเดียสมัยใหม่ สามารถแบ่งได้เป็นสมัยราชวงศ์โมกุล (ค.ศ. 1526 – ค.ศ. 1858) สมัยอังกฤษปกครองอินเดีย (ค.ศ. 1858 – ค.ศ. 1947) อย่างไรก็ตามสมัยที่วัฒนธรรมมุสลิมเข้ามามีอิทธิพลในอารยธรรมอินเดียเรียกรวมว่า สมัยมุสลิม (ค.ศ. 1200 – ค.ศ. 1858) หมายถึง รวมสมัยสุลต่านแห่งเดลฮีกับสมัยราชวงศ์โมกุล
ยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ตะวันออก
นักประวัติศาสตร์ได้แบ่งออกเป็นสี่สมัย ได้แก่ สมัยโบราณ สมัยกลาง สมัยใหม่ และสมัยปัจจุบัน โดยพิจารณาลักษณะเฉพาะทางประวัติศาสตร์ในแต่ละช่วงเวลา ขอให้ศึกษาในตารางเหตุการณ์สำคัญแต่ละยุคสมัยต่าง ๆ ของโลกตะวันออก ดังต่อไปนี้
สมัยโบราณ
ช่วงเวลา เหตุการณ์สำคัญ
2,500 – 1,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช สมัยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุของชนเผ่าดราวิเดียน
1,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชนเผ่าอารยันรุกราน และเข้าไปตั้งถื่นฐานในภูมิภาคเอเซีย
2,205 -1,767 ปีก่อนคริสต์ศักราช ชาวจีนได้ก่อตั้งราชวงศ์เซียะ เป็นราชวงศ์แรกในดินแดนลุ่ม
แม่น้ำฮวงเหอ
1,767 – 1,122 ปีก่อนคริสต์ศักราช สมัยราชวงศ์ชางปกครองประเทศจีนและมีการประดิษฐ์ตัวอักษร
1,122 – 256 ปีก่อนคริสต์ศักราช สมัยราชวงศ์โจวเป็นสมัยศักดินาและสงครามระหว่างรัฐ
623 – 543 ปีก่อนคริสต์ศักราช พระพุทธเจ้าทรงประสูติและเผยแผ่พุทธศาสนาในอินเดีย
600 – 322 ปีก่อนคริสต์ศักราช แคว้นมคธเริ่มการรวมจักรวรรดิ
322 – 184 ปีก่อนคริสต์ศักราช สมัยราชวงศ์เมารยะปกครองอินเดียและสมัยพระเจ้าอโศก
มหาราช
221 – 210 ปีก่อนคริสต์ศักราช จักรพรรดิฉินซื่อหวงตี้ทรงรวบรวมจักรวรรดิและราชวงศ์ฉิน
ปกครองประเทศจีน
206 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 220 สมัยราชวงศ์ฮั่นปกครองจักรวรรดิจีน
184 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 325 อินเดียอยู่ในสมัยของความแตกแยกทางการเมืองและการ
รุกรานจากต่างชาติ
ค.ศ. 325 – ค.ศ. 535 ราชวงศ์คุปตะปกครองอินเดียภาคเหนือและเป็นยุคทองของ
อารยธรรมอินเดีย
ค.ศ. 220 จักรวรรดิจีนแตกแยกออกเป็นสามแคว้น ถือเป็นการสิ้นสุด
สมัยโบราณในประวัติศาสตร์จีน
ค.ศ. 535 ราชวงศ์คุปตะถูกโค่นล้ม ถือเป็นการสิ้นสุดสมัยโบราณใน ประวัติ
ศาสตร์ อินเดีย
สมัยกลาง
ช่วงเวลา เหตุการณ์สำคัญ
ค.ศ. 220 – ค.ศ. 280 จักรวรรดิจีนแตกแยกออกเป็นสามแคว้น เป็นการเริ่มต้นสมัยกลางใน
ประวัติศาสตร์จีน
ค.ศ. 317 – ค.ศ. 589 จีนอยู่ในสมัยความแตกแยกทางการเมืองและการรุกรานจากต่างชาติ
ค.ศ. 589 – ค.ศ. 618 ราชวงศ์สุยรวบรวมแผ่นดินจีนเป็นปึกแผ่น
ค.ศ. 618 – ค.ศ. 907 ราชวงศ์ถังปกครองประเทศจีน จักรวรรดิจีนมีความเจริญรุ่งเรืองทาง
อารยธรรมสูงสุด
ค.ศ. 907 – ค.ศ. 979 จักรวรรดิจีนเกิดความแตกแยกออกเป็นรัฐต่าง ๆ
ค.ศ. 960 – ค.ศ. 1279 ราชวงศ์ซ่งแกครองประเทศจีนและถูกรุกรานจากพวกอนารยชน
ค.ศ. 1206 – ค.ศ. 1279 จักรวรรดิมองโกลแผ่ขยายอำนาจไปทั่วทั้งเอเชียและยุโรป
ค.ศ. 1279 – ค.ศ. 1368 ราชวงศ์หยวนของชาวมองโกลปกครองประเทศจีน
ค.ศ. 553 – ค.ศ. 1200 อินเดียแตกแยกออกเป็นแคว้นต่าง ๆ
ค.ศ. 1200 – ค.ศ. 1526 พวกเตอร์กยึดได้ภาคเหนือของอินเดียแล้วสถาปนารัฐสุลต่านแห่ง
เดลฮีขึ้น เริ่มต้นสมัยมุสลิมในอินเดีย (ค.ศ. 1200 – 1858) สมัยกลางใน
ประวัติศาสตร์อินเดียสิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1526
สมัยใหม่
ช่วงเวลา เหตุการณ์สำคัญ
ค.ศ. 1368 ชาวจีนรวมกำลังขับไล่ชาวมองโกลไป แล้วสถาปนาราชวงศ์หมิงขึ้น
สมัยกลางสิ้นสุดลง แล้วเริ่มต้นสมัยใหม่ในประวัติศาสตร์จีน
ค.ศ. 1498 วาสโก ดา กามา นำเรือโปรตุเกสเดินทางมาถึงเมืองกาลิกัตในอินเดีย
ค.ศ. 1526 พวกโมกุลจากเอเชียกลางเข้าโค่นล้มรัฐสุลต่านแห่งเดลฮี และสถาปนา
ราชวงศ์โมกุลขึ้นปกครองอินเดีย
ค.ศ. 1556 – ค.ศ. 1605 สมัยจักรพรรดิอักบาร์มหาราชปกครองอินเดียเป็นสมัยเจริญรุ่งเรืองของ
ราชวงศ์โมกุล
ค.ศ. 1644 ราชวงศ์หมิงถูกโค่นล้มโดยชนเผ่าแมนจู ซึ่งสถาปนาราชวงศ์ชิงขึ้น
ปกครองประเทศจีน
ค.ศ. 1658 – ค.ศ. 1707 จักรพรรดิออรังเซบแห่งราชวงศ์โมกุลปกครองอินเดีย
ค.ศ. 1661 – ค.ศ. 1722จักรพรรดิคังซีปกครองประเทศจีนซึ่งเป็นการเริ่มต้นสมัยรุ่งเรืองของ
ราชวงศ์ชิง
ค.ศ. 1757 – ค.ศ. 1763 เกิดสงครามระหว่างอังกฤษกับฝรั่งเศสในอินเดียกับอเมริกา อังกฤษ
ชนะสงครามจึงเข้ามีมีอิทธิพลในอินเดียมากขึ้น
ค.ศ. 1736 – ค.ศ. 1796 สมัยเฉียนหลงปกครองประเทศจีน ถือเป็นสมัยของความเจริญรุ่งเรือง
ระยะสุดท้ายของราชวงศ์ชิง
ค.ศ. 1840 – ค.ศ. 1842 เกิดสงครามฝิ่นระหว่างจีนกับอังกฤษ จีนแพ้สงครามต้องเปิดประเทศให้
กับชาติตะวันตก
ค.ศ. 1857 – ค.ศ. 1858 เกิดกบฏซีปอยต่อต้านอังกฤษในอินเดียแต่อินเดียแพ้ อังกฤษจึงเข้า
มาปกครองอินเดียโดยตรง
ค.ศ. 1853 – ค.ศ. 1864 เกิดกบฏไท้เผงในจีน
ค.ศ. 1858 – ค.ศ. 1860 เกิดสงครามระหว่างจีนกับอังกฤษและฝรั่งเศส จีนแพ้สงคราม
ค.ศ. 1858 – ค.ศ. 1947 อังกฤษปกครองอินเดียในฐานะอาณานิคม
ค.ศ. 1894 – ค.ศ. 1895 เกิดสงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น จีนแพ้สงคราม
ค.ศ. 1900 เกิดกบฏนักมวยในจีน
ค.ศ. 1914 – ค.ศ. 1918 ญี่ปุ่นและจีนเข้าร่วมสงครามเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 1
ค.ศ. 1937 – ค.ศ. 1945 ญี่ปุ่นรุกรานจีนและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ค.ศ. 1945 ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2
สมัยปัจจุบัน
ช่วงเวลา เหตุการณ์สำคัญ
ค.ศ. 1947 อินเดียและปากีสถานได้รับเอกราช
ค.ศ. 1949 จีนปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์
ค.ศ. 1966 – ค.ศ. 1976 การปฏิวัติวัฒนธรรมในจีน
ค.ศ. 1976 – ปัจจุบัน จีนเปลี่ยนแปลงระบบเศรษบกิจเป็นแบบทุนนิยมภายใต้การปกครอง
ของพรรคคอมมิวนิสต์
ค.ศ. 1947 – ปัจจุบัน อินเดียกลายเป็นประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยที่มี
ประชากรมากที่สุดในโลก
ค.ศ. 1997 ประเทศต่าง ๆ ในเอเชียเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ
ค.ศ. 2002 ติมอร์ตะวันออกเป็นประเทศใหม่ที่ได้รับเอกราชจากอินโดนีเซีย
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ในภูมิภาคต่าง ๆ
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ก็เป็นผลผลิตของการติดต่อกันระหว่างสังคมด้วย
หลักฐานทางประวัติศาสตร์สมัยโบราณ
สมัยโบราณเป็นสมัยที่เริ่มอารยธรรมของมนุษย์ในภูมิภาคต่าง ๆ ในแต่ละภูมิภาคสมัยโบราณนั้นได้ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ได้แก่
หลักฐานทางประวัติศาสตร์จีน
1. หลักฐานทางประวัติศาสตร์จีนสมัยโบราณ (1,767 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 220) หลักฐานลาย ลักษณ์อักษรในสมัยราชวงศ์ชาง (1,767 – 1,122 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
สมัยนี้ปรากฏเป็นอักษรภาพจารึกตามกระดองเต่า กระดูกสัตว์ และภาชนะสำริดที่ใช้ในพิธีการ ผู้จารึกมักเป็นกษัตริย์และนักบวช โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกระทำพิธีเสี่ยงทาย เช่น สภาวะการเพาะปลูก สภาพทางธรรมชาติ การเมือง การสงคราม ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ตีความสภาพสังคมจากหลักฐานสำคัญ เช่นสุสานเมืองโบราณสมัยชาง ที่เป็นสังคมทาสประชาชนส่วนใหญ่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน
2. สื่อจี้ หรือบันทึกของนักประวัติศาสตร์เขียนโดยสื่อหม่าเฉียน นักโหราศาสตร์ประจำราชสำนักในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก (206 ปีอก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 8) วัตถุประสงค์ในการบันทึกงานประวัติศาสตร์ของจีน คือ การศึกษาพฤติกรรมของผู้นำจีนกับปรากฏการณ์ธรรมชาติเพื่อศึกษาเป็นบทเรียนของชนชั้นปกครอง สื่อจี้แบ่งเนื้อหาออกเป็น 5 กลุ่ม ได้แก่ ส่วนแรก คือ จดหมายเหตุจักรพรรดิ ส่วนที่สองคือตาราง ส่วนที่สามคือตำราเรื่องราว ส่วนที่สี่คือการสืบค้นสายตระกูลขุนนางท้องถิ่นสมัยก่อนราชวงศ์ และส่วนสุดท้ายคือความทรงจำซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยชีวประวัติ จดหมายเหตุ และบันทึกของตระกูลขุนนางอันเป็นรายงานเหตุการณ์ต่าง ๆ หลักฐานทางประวัติศาสตร์สื่อจี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในยุคต้น ๆ ด้านข้อมูลทางการเมือง การปกครองและเหตุการณ์ทางการเมืองสำคัญ ๆ นอกจากนี้ยังเป็นงาปนระวัติศาสตร์ ราชวงศ์จีนในสมัยต่อมาด้วย
3. สุสานจักรพรรดิฉินซื่อหวงตี้ ใน ค.ศ. 1774 ชาวนาเมืองเทียน มณฑลส่านซีได้ขุดค้นพบรูปปั้นทหารดินเผา นักโบราณคดีจีนจึงได้ทำการขุดค้นสำรวจพบว่าเป็นสุสานของจักรพรรดิฉินซื่อหวงตี้แห่งราชวงศฉิน หลักฐานที่ค้นพบคือ รูปทหารดินเผาจำนวนมากกว่า 6,000 รูป รูปม้าศึก รถศึก รูปปั้นทหารที่ค้นพบมีลักษณะหน้าตาเป็นเอกลักษณ์เฉพาะแต่ละคน เครื่องแต่งกายเหมือนจริง นับว่าเป็นโบราณสถาน โบราณวัตถุที่มีคุณค่าในการศึกษาประวัติศาสตร์ ที่ให้ข้อมูลสมัยฉินทั้งด้านการเมือง อำนาจการปกครองของจักรพรรดฺ ลัทธิความเชื่อของชนชั้นปกครอง รูปแบบทางการทหาร ระบบสังคม การเกณฑ์แรงงานวัฒนธรรมประเพณีแบบทหาร รูปแบบของศิลปกรรม สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลศิลปะจากตะวันตก
สมัยกลาง ปรากฏหลักฐานประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ได้แก่
1. หลักฐานทางประวัติศาสตร์จีนสมัยกลาง (ค.ศ. 220 - ค.ศ. 1368) เป็นช่วงที่รับอารยธรรมต่างชาติเข้ามาโดยเฉพาะอิทธิพลพุทธศาสนา ปรากฏหลักฐานที่สำคัญ เช่น งานบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์ หลังจากสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตกแล้ว ทุกราชวงศ์โดยจักรพรรดิราชวงศ์ใหม่ทรงโปรดฯ ให้ราชบัณฑิตจัดทำประวัติศาสตร์ราชวงศ์เก่าที่ล่มสลายไปแล้วเรียกว่า เจิ้งสื่อ วัตถุประสงค์ของการจัดทำบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์ คือ การบันทึกพฤติกรรมชนชั้นปกครอง เป็นบทเรียนทางศีลธรรมสำหรับชนชั้นปกครองในราชวงศ์ปัจจุบัน โดยใช้ข้อมูลจดหมายเหตุประจำรัชกาล หรือสื่อลู่ เป็นต้น บันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์ที่สำคัญ คือ โฮ่วฮันฉู่ สุยฉู่ ถังฉู่ ซ่งสื่อ หยวนสื่อ
2. หลักฐานแหล่งโบราณคดีถ้ำพุทธศิลป์ สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (ค.ศ. 25 – ค.ศ.220) พระพุทธศาสนาได้เผยแผ่เข้ามาในประเทศจีน โดยผ่านเส้นทางสายไหม จนพระพุทธศาสนาได้แพร่หลายทั่วไปในสังคมจีน สมัยราชวงศ์เว่เหนือ มีการขุดเจาะถ้ำ สร้างสรรค์ศิลปกรรมด้านประติมากรรมและจิตรกรรม เช่น ถ้ำหยุนกัง มณฑลล่านซี ถ้ำตุนหวง มณฑลกันซู ราชวงศ์ถัง มีการสร้างถ้ำหลงเหมินมณฑลเหอหนาน ผู้อุปถัมภ์สร้างถ้ำพุทธศิลป์ตั้งแต่พระจักรพรรดิ พระราชวงศ์ พระภิกษุ และพุทธศาสนิกชนทั่วไป เพราะมีการพบจารึกของผู้สร้างพระพุทธรูปกำกับไว้ด้วย นอกจากนี้หลักฐานที่ค้นพบในถ้ามีทั้งคัมภีร์ในพระพุทธศาสนา ประติมากรรมสมัยต่าง ๆ เช่น ที่ถ้ำหยุนกังและหลงเหมิน ส่วนภาพจิตรกรรมพบที่ถ้ำตุนหวง มีความงดงามแสดงถึงเนื้อหาในคัมภีร์พระสูตรทางพระพุทธศาสนานิกายมหายานที่แพร่หลายในเอเชียกลางและประเทศจีน
หลักฐานทางด้านพุทธศิลปะให้ข้อมูลทางด้านวัฒนธรรม การค้าระหว่างจีน อินเดีย เอเชียกลาง และในประเทศจีน จากคติความเชื่อในพระพุทธศาสนาเรื่องกฎแห่งกรรม การเวียนว่ายตายเกิด และแหล่งโบราณคดี ศิลปะจีนแสดงให้เห็นว่าจีนรับอิทธิพลทางศิลปะจากอินเดีย โดยที่ศิลปะอินเดียและเอเชียกลางนำมาพัฒนาการเป็นศิลปะอย่างแท้จริงในสมัยราชวงศ์ถัง
สมัยปัจจุบัน ปรากฏหลักฐานประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ได้แก่ หลักฐานประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่และสมัยปัจจุบัน (ค.ศ. 1368 – ปัจจุบัน)
ประวัติศาสตร์สมัยใหม่เริ่มในสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368 – ค.ศ. 1644) สมัยราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1644 – ค.ศ. 1911) การปฏิวัติประชาธิปไตยใน ค.ศ. 1911 และการปฏิวัติสังคมนิยมของพรรคคอมมิวนิสต์ใน ค.ศ. 1949 จนถึงสมัยปัจจุบัน ตัวอย่างหลักฐานทางประวัติศาสตร์จีนที่สำคัญ เช่น งานวรรณกรรมของหลู่ซุ่น ในการศึกษางานวรรณกรรมหลู่ซุ่นในฐานะเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ร่วมสมัย ซึ่งสะท้อนข้อมูลเกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมจีนช่วงต้นคริสต์สตวรรษที่ 20 งานวรรณกรรมของหลู่ซุ่นมีหลายรูปแบบทั้งบทความ เรื่องสั้น ได้แก่ บันทึกประจำวันของคนบ้า (ค.ศ. 1918) บ้านเกิด (ค.ศ. 1921) ชีวิตจริงของอาคิว (ค.ศ. 1921) และเรื่องของขงจื้อกับสังคมยุคใหม่ของจีน (ค.ศ. 1935) เป็นต้น เนื้อหาส่วนใหญ่สะท้อนปัญหาสังคมที่มีความอยุติธรรม ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมที่ล้าหลัง การแบ่งชนชั้น ฯลฯ วัตถุประสงค์ของงานเขียนวรรณกรรมสะท้อนการกระตุ้นให้สังคมจีนเกิดการเปลี่ยนแปลง แก้ไขสังคมจีนให้มีความเจริญก้าวหน้า ความสำคัญของงานวรรณกรรมหลู่ซุ่น สามารถใช้ศึกษาประวัติศาสตร์ด้านการเมือง สังคม และข้อมูลความคิดของปัญญาชนจีน
เอกสารแถลงการณ์ร่วมประชุมระหว่างประมุข / ผู้นำรัฐบาลอาเซียนกับประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ วันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 197 เอกสารแถลงการณ์ดังกล่าวเป็นการบันทึกข้อแถลงการณ์ร่วมกันระหว่างหัวหน้ารัฐบาลของประเทศ กลุ่มสมาคมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กับประธานาธิบดีเจียงเจ๋อเหมิน แห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ภายใต้หัวข้อแถลงการณ์ณ์ว่า “ความร่วมมือระหว่างอาเซียน – จีนสู่ศตวรรษที่ 21” เพื่อตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกกลุ่มอาเซียนกับประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนในด้านต่าง ๆ
เนื้อหาความร่วมมือระหว่างกันทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ซึ่งเน้นคุณประโยชน์ของความร่วมมือกันระหว่าง 2 ฝ่าย จากความร่วมมืออย่างสันติภาพและเคารพซึ่งกันและกัน ความร่วมมือระหว่างผู้นำและทางการเมืองระหว่างประเทศ ด้านเศรษฐกิจให้ใกล้ชิด ด้านการค้า การลงทุน การเงินการแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี เป็นต้น พร้อมทั้งร่วมกันสร้างภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกให้เป็นเขตที่มีเสถียรภาพ สันติภาพ และเจริญก้าวหน้า นับว่าเอกสารหลักฐานจากแถลงการณ์ฉบับนี้เป็นหลักฐานชั้นต้นที่ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของจีนในช่วงเวลาปัจจุบัน
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น
สมัยโบราณ (7,000 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 600) ญี่ปุ่นสมัยโบราณเริ่มตั้งแต่สมัยโจมอน สมัยยาโยย ถึงสมัยโคะฟุง หักฐานที่ปรากฏจะเป็นหลักฐานทางด้านโบราณคดีที่สำคัญ ได้แก่
- หลักฐานโบราณคดีสมัยโจมอนที่พบ ได้แก่ เครื่องปั้นดินเผาลายเชือกทาย ตุ๊กตาดินเผาเล็ก ๆ สีดำจำนวนมาก คือ ตุ๊กตาโจมอนและตุ๊กตาดินเผาฮานิวะ มีลักษณะทางศิลปะคล้ายศิลปะสมัยใหม่ ศิลปะเหล่านี้ถูกสร้างโดยมนุษย์ที่อยู่ในหมู่เกาะญี่ปุ่นสมัยเริ่มแรก
- หลักฐานโบราณคดีสมัยยาโยย ที่ค้นพบ ได้แก่ เครื่องมือทำด้วยสำริด และเหล็กควบคู่ไปกับเครื่องมือหิน และค้นพบภาชนะดินเผาสีแดงตกแต่งด้วยลายเรขาคณิต รวมทั้งร่องรอยที่อยู่อาศัยของชุมชน
- หลักฐานทางโบราณคดีสมัยหลุมฝังศพ ที่ค้นพบ ได้แก่ หลุมฝังศพขนาดใหญ่มีลักษณะเป็นเนินดิน บางแห่งมีคูน้ำล้อมรอบ บริเวณหลุมฝังศพพบระฆังสำริด เครื่องเพชรพลอย กระจก ดาบ ตลอดจนตุ๊กตาฮานิวะด้วย จากข้อมูลหลายประการแสดงถึงพัฒนาการชุมชนไปสู่ความเป็นรัฐ คือ มีการแบ่งชนชั้นผู้ปกครองกันชั้นใต้ปกครอง การสร้างหลุมฝังศพขนาดใหญ่ ได้แสดงว่าชุมชนมีระบบเกณฑ์แรงงาน และมีการปกครองที่เป็นระบบ ตลอดจนความเชื่อในเรื่องธรรมชาติเป็นที่มาของศาสนาชินโต
สมัยกลาง (ค.ศ. 600 – ค.ศ. 1573) ช่วงสมัยกลางนี้ญี่ปุ่นนับเอาอารยธรรมจีนและพุทธศาสนาเข้ามา หลังจาก ค.ศ. 1185 เป็นช่วงที่มีความวุ่นวายทางการเมือง ช่วงเวลาที่สำคัญ เช่น
- โคจิกิ แปลว่า การบันทึกเรื่องราวของสิ่งโบราณ เป็นพงศาวดารประจำราชสำนักญี่ปุ่นรวบรวมขึ้นใน ค.ศ. 1082 – ค.ศ. 712 โดยบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ และข้าราชการระดับสูง เนื้อหาหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงกำเนิดประเทศญี่ปุ่น มีการรวบรวมตำนานโบราณ นิยาย บทเพลง นิทาน เรื่องเล่า ประวัติตระกูลขุนนาง วัตถุประสงค์ในการเขียนโคจิกิ ต้องการบันทึกประวัติวงศ์ตระกูลที่มีความสัมพันธ์กับสถาบันจักรพรรดิ เรื่องราวประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นตั้งแต่กำเนิดแประเทศญี่ปุ่นจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 7 ความสำคัญของหนังสือโคจิกิถือว่าเป็นหลักฐานลายลักษณ์อักษรชิ้นแรกของญี่ปุ่นที่กล่าวถึงกำเนิดของประเทศญี่ปุ่น ให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์หลายด้าน ทั้งด้านการเมือง สมัยที่ญี่ปุ่นยังมิได้เป็นราชอาณาจักร จนถึงสมัยรับอารยธรรมจากจีน คติความเชื่อต่าง ๆ ของญี่ปุ่น รวมทั้งใช้เป็นหลักฐานการศึกษาร่วมกับหลักฐานทางด้านโบราณคดี
- นิฮงโชกิ เขียนโดยเจ้าชายโทเนริ และยาสุเมโระ ฟูโตะ โนะ อาซอน ถวายแด่จักรพรรดินีกิมเมอิ ค.ศ. 720 เพื่อเป็นประวัติศาสตร์ชาติ ความสำคัญของหนังสือนิฮงโชกิให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่กำเนิดญี่ปุ่นจนถึง ค.ศ. 697 ทั้งการเมือง ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ศาสนาของญี่ปุ่นโบราณ โดยบันทึกเพิ่มจากโคจิกิบันทึกไว้ประมาณ 200 ปี คือจากคริสต์ศตวรรษที่ 5 จนถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 7
สมัยใหม่และสมัยปัจจุบันของญี่ปุ่น (ค.ศ. 1573 – ปัจจุบัน) ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นช่วงสมัยใหม่เริ่มต้นสมัยสงครามกลางเมือง (ค.ศ. 1573 – ค.ศ. 1600) สมัยโตกุกาวา จรถึงปัจจุบันหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ได้แก่
- ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1728 เขียนโดยเองเกลเบิร์ต แกมป์เฟอร์ โดยที่ได้เดินทางมายังประเทศญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1690 โดยเรือสินค้าของเนเธอร์แลนด์ แกมป์เฟอรพำนักในญี่ปุ่นประมาณ 2 ปี เขาได้เดินทางไปยังเมืองเกียวโต และเอโดะ (โตเกียว) ผ่านเส้นทางสายโตไคโด แกมป์เฟอร์ทำการบันทึกเรื่องราวที่พบเห็นในญี่ปุ่น โดยใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในการบรรยายภาพของประเทศญี่ปุ่นที่ได้พบเห็นในญี่ปุ่น โดยใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ในการบรรยายภาพของประเทศญี่ปุ่นได้พบเห็นและวาดภาพลายเส้นเกี่ยวกับสถานที่สำคัญ ๆ ของญี่ปุ่นไว้ด้วย เช่น ปราสาทเอโดะของโชกุลตระกูลโตกุกาวา เป็นต้น เรื่องราวประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นแบ่งออกเป็น 5 เล่ม เล่มแรกบันทึกเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่น กล่าวถึง การเดินทางจากเมืองปัตตาเวีย แวะเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาแล้วตรงไปยังญี่ปุ่น เน้นด้านลักษณะทางกายภาพและชีวภาพ เล่มที่สองมีเนื้อหาเกี่ยวกับการปกครองของญี่ปุ่น กล่าวถึงระบบการปกครองของญี่ปุ่น เล่มที่สามเกี่ยวกับศาสนา ปรัชญา ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณีของญี่ปุ่น เล่มที่สี่เนื้อหาเกี่ยวกับการเดินทางของแกมป์เฟอร์ เดินทางมาขึ้นฝั่งที่เมืองท่านางาซากิ สภาพเมืองท่าชาวต่างชาติและการค้าของเนเธอร์แลนด์ในญี่ปุ่น เล่มที่ห้ากล่าวถึงการเดินทางของแกมป์เฟอร์ในประเทศญี่ปุ่นจากเมืองท่านางาซากิไปยังเมืองโอซาก้าและเมืองเอโดะ (โตเกียว) และการเดินทางกลับมายังเมืองท่านางาซากิ
งานบันทึกของเอเกลเบิร์ต แกมเฟอร์ถือว่าเป็นหลักฐานชั้นต้นในการศึกาญี่ปุ่นสมัยปิดประเทศ เพราะเป็นเรื่องราวบันทึกสภาพของญี่ปุ่นที่ได้ประสบด้วยตนเอง และเป็นข้อมูลด้านทัศนคติของชาวตะวันตกที่มีต่อประเทศญี่ปุ่นยุคศักดินาสวามิภักดิ์ ด้วย
- รัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ. 1947 หลังจากที่ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อฝ่ายสัมพันธมิตรวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 1945 กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรภายใต้การนำของสหรัฐอเมริกาใต้ ยึดครองญี่ปุ่น แล้วยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นมาเป็นกฎหมายสูงสุดของญี่ปุ่น วันที่ 3 พฤศจิกายน ค.ศ. 1946 มีผลบังคับใช้ในวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ. 1947 และใช้มาถึงปัจจุบัน เนื้อหาสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญ คือ การสร้างระบอบประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นในระบอบการปกครองประเทศทั้งระบบรัฐสภา และการกระจายอำนาจส่วนท้องถิ่น การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนในด้านต่าง ๆ เช่น สิทธิการเลือกตั้งทางการเมือง เสรีภาพในการนับถือศาสนา เสรีภาพการรวมกลุ่มและการแสดงความคิดเห็น ความเสมอภาคระหว่างสามีและภรรยา สิทธิของพลเมืองในการรับการศึกษาตามความสามารถรัฐธรรมนูญฉบับ ค.ศ. 1947 มีความสำคัญในฐานะเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชั้นต้นที่กล่าวถึงทัศนคติและความคาดหวัง ของสหรัฐอเมริกาที่มีต่อญี่ปุ่น ความเปลี่ยนแปลงของประเทศญี่ปุ่นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงปัจจุบัน
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ของอินเดีย
สมัยโบราณ (2,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช – ค.ศ. 535) สมัยของอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ และอารยธรรมชนเผ่าอารยันในภูมิภาคเอเชียใต้ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ ได้แก่
- เมืองโบราณโมเฮนโจดาโรและฮารัปปา เป็นแหล่งหลักฐานทางด้านโบราณคดีและประวัติศาสตร์ที่สำคัญของลุ่มแม่น้ำสินธุ หลักฐานทางด้านโบราณสถาน ได้แก่ เมืองโบราณ อาคารบ้านเมือง ถนนหนทาง สระอาบน้ำสาธารณะ เป็นต้น ส่วนหลักฐานด้านโบราณวัตถุ เช่น ประติมากรรม หล่อด้วยโลหะ ดินเผา หินทราย เพศชายและเพศหญิง บางรูปก็มีตราประทับและตัวอักษร รูปสัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น จากข้อมูลที่ค้นพบทำให้ทราบถึงสภาพชีวิตของประชากร ศิลปวัฒนธรรมของชาวดราวิเดียน ระบบชลประทาน เศรษฐกิจแบบเกษครกรรม การปกครองที่รวบอำนาจของชาวดราวิเดียน
- คัมภีร์พระเวทของชาวอารยัน (1,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช) อารยธรรมใหม่ของชาวอารยัน เรียกว่า อารยธรรมพระเวท หลักฐานทางประวัติศาสตร์ คือ คัมภีร์พระเวท ซึ่งเป็นคัมภีร์ทางศาสนาของชาวอารยัน ในสมัยแรกที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในอินเดีย คัมภีร์พระเวทประกอบด้วย ฤคเวท สามเวท ยชุรเวท และอาถรรพเวท เนื้อหาคัมภีร์พระเวทเป็นเรื่องราวของชาวอารยันที่ได้อพยพเข้ามายังภาคเหนือของอินเดีย และให้ข้อมูลเกี่ยวกับศาสนา การเมือง สังคมวัฒนธรรมด้วย เช่น กรอบความคิดทางการเมือง เรื่องของเทวราชาหรือการอวตารของเทพเจ้าลงมากษัตริย์ พระราชพิธีที่มีความเชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติ ขนบธรรมเนียมประเพณี กรอบปรัชญาของชาวอารยัน
- ศิลาจารึกพระเจ้าอโศกมหาราช คือ จารึกที่พระเจ้าอโศกมหาราชโปรดให้บันทึกเรื่องราวของพระองค์โดยจารึกไว้ตามผนังถ้ำ ศิลาจารึกหลักเล็ก ๆ จารึกบนเสาหินขนาดใหญ่มีลักษณะศิลปกรรมที่งดงาม เช่น ที่สารนาถ จากรามปรวา เป็นต้น เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงเปลี่ยนมานับถือพระพุทธศาสนาทรงใช้หลักธรรมทางพุทธศาสนาปกครองประเทศ หลักศิลาจารึกพระเจ้าอโศกมหาราชได้ให้ข้อมูลประวัติศาสตร์อินเดียด้านการเมือง การปกครอง การสร้างจักรวรรดิ ระบบเศรษฐกิจ ระบบสังคมของอินเดีย
สมัยกลาง (ค.ศ. 535 – ค.ศ. 1526) สมัยกลางของอินเดียเป็นสมัยของการแตกแยกทางการเมือง และการรุกรานจากพวกมุสลิม จนเกิดอาณาจักรสุลต่านแห่งเดลฮี หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญ เช่น
- หนังสือประวัติของซาห์ ฟีรุส เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติของสุลต่านแห่งเดลี ตั้งแต่สมัยสุลต่านบัลบันจนถึงต้นสมัยสุลต่านฟีรุส ซาห์ ตุคลุก มีเนื้อหานำเสนอถึงประวัติของสุลต่านแห่งเดลี การปฏิบัติหน้าที่ของสุลต่านเหล่านั้นและการพบจุดจบของสุลต่านแต่ละพระองค์ คุณค่าของหนังสือปรวัติของซาห์ ฟีรุสเป็นการรวบรวมข้อมูลและการแยกแยะข้อมูลเกี่ยวกับปรัชญาทางการเมือง ประวัติศาสตร์ ศาสนา อักษรศาสตร์ และข้อมูลชีวิตประจำวันของประชาชน ทำให้เป็นหลักฐานข้อมูลศึกษาประวัติศาสตร์อินเดียสมัยสุลต่านแห่งเดลี ประวัติของซาห์ ฟีรุส เรียบเรียงโดย ชีอา อัล ดิน บรานี ซึ่งเขาเป็นบริวารของสุลต่าน (นะดิม) ต่อมาต้องถูกคุมขัง ช่วงเวลาดังกล่าว บารนีได้เขียนหนังสือประวัติของซาห์ ฟีรุส ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแนะนำให้สุลต่านแห่งเดลีทุกพระองค์ทรงปฏิบัติหน้าที่ต่อศาสนาอิสลาม โดยเขียนเสร็จใน ค.ศ. 1357
- งานวรรณกรรมของอะมีร์ ศุลเรา วรรณกรรมของเขามีลักษณะทั้งโคลงกลอนและร้อยแก้วโดยมีวัตถุประสงค์ถวายแด่สุลต่าน งานที่สำคัญของอะมีร์ ศุลเรา ได้แก่ ชิรัน อัล – ซาเดน หรือ มิฟ ตาอัล – ฟูตัช นูห์ ซิปหร์ งานเขียนของอะมีร์ ศุลเรา เน้นที่วีรกรรมของศุลต่านด้านพฤติกรรมและศักยภาพ ซึ่งรวบรวมทั้งคุณความดี ความสามารถ ความเป็นชาวมุสลิมที่แท้จริง เพื่อสรรเสริญสุลต่านและราชสำนักทำให้งานวรรณกรรมมีลักษณะหรูหรา เกินความจริงและใช้สำนวนทางวรรณคดีในการประพันธ์ อย่างไรก็ตามแม้ว่าวรรณกรรมของอะมีร์ ศุลเรามีความอคติและจินตนาการของผู้แต่ง แต่ก็ให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ณ์ทางประวัติศาสตร์ กรอบความคิดทางสังคม สภาพชีวิต และวัฒนธรรมของชาวอินเดียในสมัยกลาง
สมัยใหม่และสมัยปัจจุบัน
ประวัติศาสตร์อินเดียสมัยใหม่เริ่มต้นเมื่อพวกโมกุลสถาปนาราชวงศ์โมกุลจนถึงสมัยอังกฤษปกครองอินเดีย และอินเดียได้รับเอกราชใน ค.ศ. 1947 จนถึงปัจจุบัน หลักฐานทางประวัติศาสตร์อินเดียที่สำคัญ ได้แก่
- ประวัติของอักบาร์ ของพระเจ้าอักบาร์มหาราช (ค.ศ. 1556 – ค.ศ. 1605) ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์สำคัญของราชวงศ์โมกุลที่มีความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด ประวัติของอักบาร์แบ่งเนื้อหาออกเป็น 3 ส่วน ส่วนแรกกล่าวถึงการประสูติของอักบาร์และยุคสมัยของจักรพรรดิบาบูร์ (ค.ศ. 1526 – ค.ศ. 1530) กับสมัยจักรพรรดิฮูมายัน (ค.ศ. 1530 – ค.ศ. 1556) ส่วนที่สองกล่าวถึงยุคสมัยจักรพรรดิอักบาร์ และส่วนที่สามเกี่ยวกับประชากร อุตสาหกรรม และสภาวะเศรษฐกิจของจักรพรรดิโมกุล ข้อมูลที่ได้จากเอกสารประวัติอักบาร์เป็นข้อมูลด้านการเมือง การปกครอง ด้านเศรษฐกิจ การผลิตอุตสาหกรรม สังคม ประชากร ในสมัยต้นราชวงศ์โมกุล นับว่าเป็นเอกสารหลักฐานชั้นต้นที่จะศึกษาประวัติศาสตร์อินเดียช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16
ประวัติศาสตร์ของอักบาร์ เรียบเรียงโดย อาบูล ฟาซัล ซึ่งเป็นพระสหายและที่ปรึกษาของพระเจ้าอักบาร์ ฟา ซัล เอกสารประวัติของอักบาร์เขียนเสร็จใน ค.ศ. 1593 เอกสารฉบับดังกล่าวนี้จึงเป็นเอกสารทางราชสำนักโมกุล
- พระราชโองการของพระราชินีวิกตอเรีย ค.ศ. 1857 – ค.ศ. 1858 ได้เกิดกบฏของทหาร ซีปอย ซึ่งเป็นทหารชาวอินเดียในกองทัพอังกฤษต่อต้านบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ เมื่อรัฐบาลอังกฤษทำการปราบกบฏซีปอยเรียบร้อยแล้ว แต่เหตุการณ์จลาจลส่งผลกระทบต่ออินเดีย เนื่องจากรัฐบาลอังกฤษที่กรุงลอนดอนเข้าปกครองอินเดียโดยตรง พระราชโองการของพระราชินีวิกตอเรียเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ชั้นต้นที่สำคัญในการศึกษานโยบายของอังกฤษในการเข้าปกครองอินเดีย โดยมีแนวคิดลักษณะอุดมคติอยู่มากตามแบบจักรวรรดินิยม ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ซึ่งเป็นหลักฐานที่ให้ข้อมูลที่สำคัญอย่างยิ่ง
เนื้อหาพระราชโองการฉบับนี้มีลักษณะของตำสัญญาสำหรับชาวอินเดียโดยกล่าวถึงการยกเลิกบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ สิทธิของอังกฤษในอินเดีย และการให้ชาวอินเดียมีสิทธิ เสรีภาพในการนับถือศาสนาที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย และการประกาศการพัฒนาเศรษฐกิจทั้งด้านอุตสาหกรรม การบริการสาธารณะ ผลประโยชน์ของชาวอินเดียภายใต้การปกครองของอังกฤษ
แบบทดสอบ
คำสั่ง จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว
1. เกณฑ์การแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์ สมัยก่อนประวัติศาสตร์ สามารถศึกษาจากหลักฐานประเภทใด
ก. ศิลาจารึก ข. จารบนใบลาน
ค. เครื่องประดับ ง. อุดมการณ์ประชาธิปไตย
2. การตั้งหลักแหล่งบ้านเมืองเป็นแคว้น มีอารยธรรมสูงแบบคนเมือง แสดงว่ายุคสมัยใด
ก. กึ่งประวัติศาสตร์ ข. สมัยประวัติศาสตร์
ค. สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ง. สมัยยุคหิน
3. ยุคสมัยประวัติศาสตร์ของจีนสมัยโบราณ วัฒนธรรมที่เป็นยุคเริ่มต้นของอารยธรรมจีนคืออะไร
ก. ยุคหิน ข. ยุคโลหะ
ค. ยุคสำริด ง. ยุคเหล็ก
4. ประวัติศาสตร์จีนสมัยโบราณ ช่วงเวลาที่มีการก่อตัวเป็นรัฐและวางรากฐานด้านกาปรกครอง เศรษฐกิจ และสังคมในช่วงราชวงศ์ใด
ก. เซียะ ชาง ข. ชางโจว
ค. โจวฉิน ง. ฉิน ฮั่น
5. ช่วงเวลาที่ประเทศประเทศจีนมีความรุ่งเรืองสูงสุดก่อนที่ประเทศจีนจะแตกแยกในสมัยห้าราชวงศ์กับสิบรัฐได้แก่ราชวงศ์ใด
ก. ราชวงศ์ฮั่น ข. ราชวงศ์สุย
ค. ราชวงศ์ถัง ง. ราชวงศ์ซ่ง
6. ราชวงศ์สุดท้ายของจีนที่ถูกโค่นล้มได้แก่ราชวงศ์ใด
ก. ราชวงศ์สุย ข. ราชวงศ์ฮั่น
ค. ราชวงศ์หมิง ง. ราชวงศ์ชิง
7. การเปลี่ยนแปลงการปกครองของจีนเปลี่ยนแปลงมาเป็นระบอบการปกครองแบบใด(ใน ค.ศ. 1911 – ค.ศ. 1949)
ก. ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ข. ระบอบคอมมิวนิสต์
ค. ระบอบสาธารณรัฐ ง. ระบอบสังคมนิยม
8. เกณฑ์การแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่น มีวิธีการแบ่งยุคสมัยอย่างไร
ก. ตามพัฒนาการอารยธรรม
ข. ช่วงเวลาศูนย์กลางอำนาจปกครอง
ค. การตั้งถิ่นฐานในหมู่เกาะญี่ปุ่น
ง. อำนาจการปกครองและพัฒนาการของอารยธรรม
9. วัฒนธรรมสมัยหินและเครื่องปั้นดินเผาเป็นอารยธรรมสมัยใด
ก. สมัยโคะฟุง ข. สมัยโจมอน
ค. สมัยยาโยย ง. สมัยนารา
10. สมัยที่โชกุนขุนศึกเกิดสงครามศึกตระกูลต่าง ๆ นั้นศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่ใด
ก. เมืองคามากุระ เมืองเกียวโต ข. เมืองนารา เมืองเฮอัน
ค. เมืองเฮอัน เมืองเกียวโต ง. เมืองคามากุระ เมืองนารา
11. โชกุนตระกูลใดสามารถยุติสงครามกลางเมืองระหว่างตระกูลลงได้
ก. ตระกูลมินาโมโต ข. ตระกูลโตกุกาวา
ค. ตระกูลอาชิกางะ ง. ตระกูลมูโรมาจิ
12. ช่วงเวลาที่ระบบศักดินาเจริญรุ่งเรืองที่สุดของญี่ปุ่นได้แก่สมัยใด
ก. สมัยมูโรมาจิ ข. สมัยโมโมยามะ
ค. สมัยเอโดะ ง. สมัยเฮอัน
13. เมื่อโชกุนถวายอำนาจคืนการปกครองแก่จักรพรรดิ ญี่ปุ่นเริ่มเข้าสู่ยุคสมัย
ก. สมัยเมจิ ข. สมัยเอโดะ
ค. สมัยเฮอัน ง. สมัยอาสุกะ
14. การสิ้นสุดของสมัยใดถือว่าเป็นการสิ้นสุดสมัยของโบราณของอินเดีย
ก. สมัยพระเวท ข. สมัยคุปตะ
ค. สมัยโมกุล ง. สมัยมุสลิม
15. อินเดียเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่เมื่อใด
ก. การถูกแบ่งแยกเป็นประเทศต่าง ๆ เช่น อินเดีย ปากีสถาน บังคลาเทศ
ข. ภายหลังได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อ ค.ศ. 1971
ค. เมื่อวัฒนธรรมมุสลิมเข้ามา รวมสมัยสุลต่านแห่งเดลีกับราชวงศ์โมกุล
ง. หลังได้รับเอกราช และถูกแยกเป็นประเทศต่างๆ
16. หลักฐานลายลักษณ์อักษรของจีนสมัยโบราณได้แก่หลักฐานประเภทใด
ก. งานบันทึกประวัติศาสตร์ราชวงศ์ ข. แหล่งโบราณคดีถ้าพุทธศิลป์
ค. บันทึกของสื่อจี้ ง. ข้อมูลจดหมายเหตุประจำรัชกาล
17. งานวรรณกรรมของหลู่ซุ่นเริ่มต้นในสมัยใดของหลักฐานจีน
ก. หลักฐานประวัติศาสตร์จีนสมัยโบราณ
ข. หลักฐานประวัติศาสตร์จีนราชวงศ์ฮั่นตะวันตก
ค. หลักฐานประวัติศาสตร์จีนสมัยกลาง
ง. หลักฐานประวัติศาสตร์จีนสมัยใหม่จนถึงปัจจุบัน
18. หลักฐานประวัติศาสตร์ของญี่ปุ่นส่วนใหญ่เป็นหลักฐานประเภทใดในสมัยโบราณ
ก. เอกสารสำคัญ
ข. ด้านโบราณคดี
ค. เอกสารโคจิกิ
ง. เอกสารนิฮงโชกิ
19. เรื่องราวระวัติศาสตร์ญี่ปุ่นที่แบ่งออกเป็น 5 เล่ม เป็นงานเขียนของผู้ใด
ก. อิเอยาสุ ข. มัตสุหิโต
ค. แกมป์เฟอร์ ง. โคจิกิ
20. หากต้องการศึกษาประวัติศาสตร์อินเดียช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ควรศึกษาจากหลักฐานใด
ก. ศิลาจารึกพระเจ้าอโศกมหาราช
ข. งานวรรณกรรมของอะมีร์ ศุลเรา
ค. ประวัติของพระเจ้าอักบาร์มหาราช
ง. พระราชโองการของพระราชินีวิกตอเรีย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น